ธนาคารต้นไม้ของแท้ฉบับพระศรีอารย์ กับของรัฐบาล ฉบับเณรคำ

คนแบบเณรคำหรือพระเกจิดังระดับขั้นเทพของเมืองไทยจำนวนมากเป็นพวก สีลัพพตปรามาส แปลว่าผู้อ้างเอา ศีลที่ถูกไปใช้ในทางที่ผิด เป็นพวกเอาของถูกไปใช้ในทางชั่วร้ายอย่างจงใจหรืออาจโง่หลงอย่างบริสุทธิ์ใจในอวิชชา

รัฐบาล คสช.ชอบอ้างตัวเองว่าเข้ามาเพื่อทำสิ่งที่ถูกต้อง คืออ้างศีลว่าจะมาทำให้บ้านเมืองเข้าสู่ภาวะปกติอันที่ จริงศีลมาจากคำว่าศิลาแปลว่าหินก้อนหินเพราะก้อนหินเปลี่ยนแปลงช้าที่สุดมีความเป็นปกติอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน คนอินเดีย สมัยก่อนจึงเอามาแทนอารมณ์ ทั้ง กาย วาจา ใจที่สงบเย็นเป็นปกติและเอามาแทนกฏเกณฑ์กติกาที่ใช้เพื่อให้สังคมปกติสุข ที่เรียกว่า ศีล ซึ่งศีลมีมาก่อนพุทธศาสนา. แต่คงคิดกันออกด้วยตัวเองนะครับว่ารัฐบาล คสช.อ้างศีลที่ถูกไปใช้ในสิ่งที่ผิดเรื่องใดเช่นไร ทัง้ มิติทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม แปลง่ายๆว่าอ้างว่ามารักษาความสงบแต่มาเสวยอำนาจผลประโยชน์จนเพลินเกินสิ่งที่ควรเป็น
…..

เช่นเรื่องรัฐธรรมนูญ ปี 60 เป็นที่ตกลงและยอมรับกันในสากลว่าทุกรัฐชาติต้องมีกฎกติกาสูงสุด รัฐธรรมนูญ เพื่อให้สังคมได้ จัดการปกป้องดูแลควบคุมส่งเสริมให้เกิดความปกติสุข หมายถึง การมีศีล

การร่างรัฐธรรมนูญและการลงประชามติถือว่าเป็นศีลระดับสากล แต่การเขียนแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20ปีแล้ว จัดรูปแบบวางเส้นทางเพื่อสืบทอดอำนาจกำกับสังคมให้เป็นไปตามอำนาจตนที่วางไว้มันขัดกับหลักการสากล และมันคือการอ้างศีลที่ถูกไปใช้ในสิ่งที่ผิด เรียกว่า“สีลัพพตปรามาส”
…..

ไม่ต่างจากเณรคำหรือหลวงปู่เณรคำภิกษุหนุ่มผู้โด่งดังมีทรัพย์สินทางโลกมากมายกว่าคหบดีผู้มีอันจะกินแต่ละวันโบยบินด้วยเฮลิคอปเตอร์ ใช้สมณะเพศในพระพุทธศาสนาอ้างเอาความเป็นผู้ทรงศีล อันเป็นที่เคารพนับถือของประชาชน มาหลอกลวงหากินปลิ้นปล้น จนศาลทางโลกได้พิพากษาจำคุกกว่าร้อยปี แล้วแบบนี้ชัดตรงที่สามารถเรียกว่าอ้างเอาศีลที่ถูกมาใช้ในทางที่ผิดแล้วเกิดผลร้ายต่อสังคม“สีลัพพตปรามาส“ของแท้

ต้นไม้ของแท้ที่เริ่มต้นและขับเคลื่อนโดยภาคประชาชนได้ผ่านการขบคิดโยนิโสมนสิการเป็นความถูกต้องที่แยบคายแล้ว โดยใช้ต้นไม้เป็นเครื่องมือที่มีความสัมพันธ์กับปัญญากับองค์กรประชาชน กับการบริหารจัดการกับกองทุนพึ่งตนเอง ภายใต้กรอบคิดหลักของประชาธิปไตยของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน ที่มีหลักการสาคัญ 4 ข้อ เปรียบเสมือนศีลที่สร้างความถูกต้องเป็นธรรมเท่าเทียมในตัวมันเองคือ

ต้นไม้ที่ประชาชนปลูกย่อมต้องเป็นของประชาชนทั้ง ทรัพย์ และสิทธิ์
ต้นไม้ต้องมีมูลค่าเป็นทรัพย์ ขณะที่มีชีวิต และสามารถนาไปใช้เฉกเช่น หลักทรัพย์อื่นๆ
มีองค์กรบริหารจัดการที่มาจากคนปลูกต้นไม้
มีกองทุนของตนเองเกิดจากทุนประเดิม และการเกิดจากกิจการค้าไม้ และภาษีด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อส่งเสริมแรงจูงใจในการปลูก และจัดการผลผลิตไม้
ทั้ง 4 ข้อมีความสัมพันธ์กันลักษณะเป็นเหตุเป็นผลเหมือนห่วงโซ่อิทัปปัจจยตา เพราะมีสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงต้องมีเสมือนเป็นศีลของธนาคารต้นไม้ เพราะต้นไม้จะสร้างความมั่งมีทรัพย์สินให้เจ้าของสามารถดูแลจัดการใช้หรือหาประโยชน์ได้ด้วยตนเองมีองค์กรธนาคารต้นไม้ระดับชุมชนตรวจสอบรับรองกันเองด้วยความเชื่อในความสามารถของเพื่อนมนุษย์และมีกองทุนให้คนปลูกต้นไม้นำไปใช้ในการดูแลรักษาอัตราร้อยละห้าของมูลค่าต้นไม้เป็นเวลาสิบปีเป็นอย่างน้อย และจ่ายกลับคืนเข้ากองทุนเมื่อตัดต้นไม้ขาย
……

ฐานคิดเรื่องต้นไม้เป็นทรัพย์สิน เป็นพุทธวิสัยทัศน์ที่ปรากฏในคัมภีร์พระศรีอารย์ หมายถึงพระพุทธองค์ทรงชี้แนะว่าถ้าหากมนุษย์ได้อยู่ในศีลในธรรมคำสอนกันอย่างถ้วนหน้าแล้วสังคมมนุษย์จะก้าวไปสู่ยุคพระศรีอารย์
…..

อ.พุทธทาสเคยได้มอบมรดกไว้ 3 ข้อกล่าวถึงพระศรีอารย์ว่า

จงทำความเข้าใจในศาสนาแห่งตนๆ
ทำความเข้าใจระหว่างศาสนา แล้วอนาคตจะเหลือเพียงศาสนาเดียวคือศาสนาพระศรีอารย์
จงหลุดพ้นเสียจากวัตถุนิยม
ในยุคพระศรีอารย์ มีการเล่าขานต่อกันเสมือนโลกอุดมคติคล้ายๆกับภาพยนตร์ซัปบาลา กล่าวกันว่ายุคนั้น

ผู้คน หน้าตาเหมือนกันหมดจนไม่สามารถจดจำว่าใครเป็นใคร
ออกจากบ้านไปก็จะไม่รู้ว่าใครคนไหนเป็นญาติพี่น้องพ่อแม่เรามาทราบอีกครั้งเมื่อกลับถึงเรือน
มีแม่ 6 คนผัวเมีย 4 คน
การเดินทางสะดวกสบายไปหากันง่ายแค่เอียงไปก็มีทางไหลไปหากันได้
ตัวสูงเท่าหญ้าเจ้าชู้หัวเท่าลูกมะกอก
มีต้นกัลปพฤกษ์สี่ต้นทุกมุมเมือง ประชาชนไปสอยเอาทรัพย์จากต้นกัลปพฤกษ์อย่างผาสุกไม่ต้องทำงานหนัก
อ.พุทธทาสเคยแปลว่ายุคพระศรีอารย์ คือยุคที่มนุษย์รักกันเสมอเพื่อน เหมือนกับคำว่า เมสิอาร์ในศาสนาคริสต์ คงเหมือนกับคำว่ายุคดารุสรามในศาสนาอิสลาม แปลว่า มนุษย์รักกันเสมอเพื่อนหลังจากโลกล่มสลาย หมายถึงฟื้นจาก ภาระที่เลวร้ายสุดๆ แล้วมนุษย์จักต้องปรับตัวพัฒนาตนให้อยู่กันอย่างมีความรักด้วยกัน และสงบสุข สันติภาพ และกล่าว ว่า ยุคพระศรีอารย์อยู่แค่ปลายจมูก คือจับต้องได้ มองเห็นอยู่รำไร แต่ไม่เห็นมันจนกว่าลงมือทำ

ถ้าจะแปลปริศนาธรรมด้วยปัญญาให้เป็นปริศนาธรรม แบบพงศา ชูแนม ก็แปลได้ว่า “ยุคพระศรีอารย์ คือ ยุคที่ มนุษย์เชื่อ และทำตามคำสอนอย่างครบถ้วนสมบรูณ์ สภาพสังคมจะเปลี่ยนไปเป็นสังคมที่มนุษย์รักกันเสมอเพื่อน

ตัวสูงเท่าหญ้าเจ้าชู้หัวเท่าลูกมะกอก : ตัวสูงเท่าหญ้าเจ้าชู้ หัวเท่าลูกมะกอก แปลว่า มนุษย์ต้องทาตัวให้เล็กลง รู้จักนบนอบต่อกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติ เสมือนเพียงหญ้าชนิดหนงึ่ มีความคิดสมองที่ทนเหมือนการทนทานต่อ การเน่าเหมือนผลมะกอกซึ่งก็มิได้ยิ่งใหญ่อันใด
หน้าตาเหมือนกันหมดจนจดจาใครไม่ได้ : แปลว่าหากมนุษย์ไม่ได้เอาเปรียบเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ไม่มีคน เสียเปรียบ ได้เปรียบ จึงไม่มีความทุกข์จากการโดนกดขี่ข่มเหง จึงมีหน้าตาที่สุขสดใสเหมือนกันจนเหมือนกันทุก คน หมายถึง สี หน้า แววตา ที่ออกมาจากจิตใจที่ผ่องใสเบิกบานตื่นรู้ ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าผุ้ใดเป็นญาติพี่น้องพ่อแม่ผัวเมีย แปลว่า ถ้าเรามีคนรักให้ต่อทุกคนในสังคมอย่างเสมอ กัน เราก็จะไม่ต้องให้ความสำคัญพิเศษแก่ใครแม้นจะเป็นญาติพี่น้อง ผัวเมีย พ่อแม่ เพราะเหมือนกัน และเท่าเทียมกัน
ออกจากบ้านไปก็จะไม่รู้ว่าใครคนไหนเป็นญาติพี่น้องพ่อแม่เรามาทราบอีกครั้งเมื่อกลับถึงเรือน หมายถึง แม้นเรา จะให้ความรักเท่าเทียมกันกับทุกคนในสังคม แต่มนุษย์ต่างต้องทำหน้าที่ในครัวเรือน ชุมชนตามบทบาทที่เป็น จริงเช่น เป็นพ่อแม่ กับลูก ต้องปฏิบัติเช่นไร
มีแม่ 6 คนผัวเมีย 4 คน มีแม่ 6 คน แปลว่าในสังคมนั้น เราจะมีคนที่คอยเอาใจใส่ดูแลด้วยความห่วงใย เหมือนกับพ่อแม่ ทุกทิศ ซ้าย ขวา หน้า หลัง บน ล่าง(ทิศหก) เปรียบกับสังคมในอดีตที่มีคนคอยตักเตือนว่ากล่าว ห่วงใย ต่อคนในสังคม เหมือนลูกหลานเอง ส่วนมีผัวเมืย 4 คน แปลว่า เมื่อเราได้รับการคุ้มครองดูแล เมตตา จากทุกทิศแล้ว เราก็จำเป็นต้องดูแลผู้อื่นให้รอบด้าน
การเดินทางสะดวกสบายไปหากันง่ายแค่เอียงไปก็มีทางไหลไปหากันได้ แปลว่า การเดินทางทั้งทางกาย และ จิตไปสู่สิ่งใดที่ใดแค่น้อมจิตน้อมกายไปในทางใดก็สะดวกเพราะไม่มีอวิชชามากางกั้น และไม่ต้องเจออุปสรรคจากหมู่มารกิเลส โลภ โกรธ หลงมาเป็นตัวถ่วงให้หนักจนขยับไม่ได้
มีต้นกัลปพฤกษ์สี่ต้นทุกมุมเมือง ประชาชนไปสอยเอาทรัพย์จากต้นกัลปพฤกษ์อย่างผาสุกไม่ต้องทำงานหนัก แปลว่า สังคมชุมชนต้องมีต้นไม้อายุยืน ธรรมชาติที่ยั่งยืนห้อมล้อมรอบทุกทิศทาง และเป็นทรัพย์สิน สามารถ นำไปใช้ได้ในการอยู่ร่วมกันให้เกิดความประเสริฐ ผาสุกทางเศรษฐกิจสังคม
ประชาชนไปสอยเอาทรัพย์จากต้นกัลปพฤกษ์อย่างผาสุกไม่ต้องทางานหนัก แปลความตรงๆว่าต้นไม้ต้อง เป็นทรัพย์ และทุกคนต้องมีต้นไม้ไว้เพื่อนำไปดำรงชีวิต ธนาคารต้นไม้จึงถอดความสำคัญตรงนี้มา เป็นสาระสาคัญ ให้ต้นไม้เป็นทรัพย์สิน โดยให้มีมูลค่าเป็นทรัพย์ขณะที่มีชีวิต เพื่อนำมูลค่าทรัพย์สินไปใช้เป็น เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ โดยไม่ต้องทำงานหนัก เพราะสามารถป้องกันการเบียดเบียนเอาเปรียบจนคน จำพวกหนึ่งต้องทำงานหนัก เพื่อหล่อเลี้ยงคนอีกพวกที่สุขสบายบนหยาดเหงื่อแรงกายอีกพวกหนึ่ง
จากต้นกัลปพฤกษ์ 4 ต้น ทุกมุมเมืองมาเป็นธนาคารต้นไม้ บนหลักการสำคัญ 4 ข้อ จึงเป็นธนาคารต้นไม้ ฉบับ พระศรีอารย์
แต่รัฐบาลเณรคำเอาสิ่ง ที่ถูกมาใช้ในทางที่ผิด คือการอ้างเอาแนวทางธนาคารต้นไม้ที่มีธรรมาภิบาลทุกขั้นตอน มาแยกร่าง ฆ่าตัดตอน เป็นมาตรการต่างๆของรัฐบาล เช่น มติครม. 24 กรกฎาคม 2561ให้ไม้ยืนต้น 58 ชนิดเป็นหลักประกันทางธุรกิจ มีการออกแบบวางแผนให้กู้เงินจากธนาคารไปปลูกต้นไม้เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับ แยกแยะไม้ที่ปลูกได้ด้วยการพิสูจน์ดีเอ็นเอและรับรองโดยผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทประเมินหลักประกันทางธุรกิจ
…….

มติครม. 24 กรกฏาคม 2561 ให้ไม้ยืนต้น 58 ชนิด เป็นหลักประกันของธุรกิจตามมาตรา 8 แห่ง พรบ. หลักประกัน ของธุรกิจ มันเป็นสีลัพพตปรามาสเพราะสิ่งใด

 

ธนาคารต้นไม้ มติ ครม.24 ก.ค. 61 ต้นไม้เป็นหลักประกันของธุรกิจ
1. ต้นไม้ที่ประชาชนปลูกต้องเป็นของประชาชนทั้งทรัพย์ และสิทธิ์ เพราะกฎหมายไทยควบคุมกำกับจำกัดสิทธิ์โดยให้ไม้เป็นไม้หวงห้าม และสร้างกรอบจำกัดในการจัดการผลผลิตไม้ เช่นการตัดแปรรูปการค้า และประดิษฐกรรมธนาคารต้นไม้ได้วางกฎเกณฑ์ให้มีสิทธิเสรีภาพการจัดการต้นไม้ที่ประชาชนปลูก และดูแลรักษาอย่างเต็มสิทธิ์โดยเฉพาะไม้ที่ขึ้น ในที่ดินทำกินไม่ว่าเอกสารที่ทำกิน ประเภทใดต้นไม้ต้องได้รับสิทธิ์ และการคุ้มครองเป็นทรัพย์ ต้องไม่โดนกำกับด้วยมาตรา 7 แห่ง พรบป่าไม้ 2484 ให้เป็นไม้หวงห้าม แม้นรัฐบาล จะมีมติ ครม 31 ก.ค.61ยกเลิก มาตรา 7 แต่เฉพาะในที่ดินกรรมสิทธิ์ไม้หวงห้ามเฉพาะที่ดินกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนที่ดินประเภทอื่นยังถือให้ไม้หวงห้ามยิ่งกว่านั้น การจัดการผลผลิตไม้ยังต้องอยู่ในการควบคุมกำกับของกรมป่าไม้ ทั้ง ๆ ที่ทรัพยากรสิทธิเป็นของประชาชนตามประมวลแพ่งฯ ม .144,145,1335, 1336 1. รัฐบาลกำหนดต้นไม้เพียง 58 ชนิดจากหลายร้อยชนิดและต้องขึ้นทะเบียนได้รับอนุญาตจากรัฐเป็นการละเมิดในสิทธิและ ในทรัพย์ของประชาชน รวมถึงการสร้างกรอบกำหนดให้ต้องทำการรับรองโดยรัฐก่อให้เกิดความยุ่งยากและเกิดการใช้อำนาจมิชอบรวมถึงต้องสูญเสียงบประมาณชาติการจำกัดต้นไม้ 58 ชนิดเป็นการเดินตามพรบ.สวนป่า ที่มีบกพร่อง และละเลยสิทธิประชาชนอย่างยิ่งซึ่งทั้งหมดการคิดคำนึงต้นไม้ชนิดอื่นที่มีจำนวนมากที่สุดของประเทศ คือไม้ยางพาราไม่ได้อยู่ใน 58 ชนิดจึงเห็นได้ว่ารัฐบาลเณรคำไม่ได้มีความคิดลึกซึ้ง รอบคอบไม่คิดคำนึงถึง อยู่บนฐานทรัพยากรที่เป็นจริงของประชาชนแต่คิดตามกรอบกฎหมายเก่าที่วางไว้อย่างไร้ความรอบคอบ
2. ต้นไม้มีมูลค่าเป็นทรัพย์ ขณะที่มีชีวิต หมายถึง ต้นไม้ มีมูลค่าตั้งแต่อายุ 1 ถึง 10 ปีมีมูลค่าตามราคาทุน และ เกิน10ปี จะมีมูลค่าตามราคาจริงที่โลกยอมรับ เช่น เนื้อไม้ มวลคาร์บอนค่าตอบแทนเชิงนิเวศ ฯลฯ มูลค่าต้นไม้ ได้รับการรับรองด้วยบัตร TAC (Tree Asset Card) สามารถเก็บไว้ หรือใช้เป็นหลักทรัพย์ได้ทุกกรณี ทั้ง ประกันตน ประกันหหนี้เปรียบง่ายๆมีเงินในกระเป๋าหนึ่งแสนมันเป็นทรัพย์สินแต่ถ้าเอาไปแทงบอล แทงไฮโลว์ จะกลายเป็นทุน การเป็นหลักประกันทางธุรกิจก็คือการ เอาเงินไปแลกชิปในบ่อนแล้วเอาชิปไปเล่นการพนันเท่านั้นเอง ซึ่งเต็มไปด้วยความเสี่ยง 2. ต้นไม้เป็นหลักประกันทางธุรกิจ ใช้ได้เฉพาะต้นไม้ที่โตได้ ขนาดแล้ว เลือกชนิดที่ทำกำหนด และต้องเอาไปลงทุนทาง ธุรกิจเท่านั้นจึงมีมูลค่าหากไม่เอาไปลงทุนทางธุรกิจก็ไม่มี มูลค่าแต่อย่างใด จึงเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนเป็นหนี้และ เกิดความเสี่ยงในทรัพย์ สร้างกรอบจำกัดแคบๆให้ต้นไม้เป็น เพียงเครื่องมือทางธุรกิจ
3. มีองค์กรบริหารจัดการ โดยคนปลูกต้นไม้ตั้งแต่ระดับสาขา จังหวัด ถึงระดับชาติ ทำหน้าที่ในการส่งเสริมตรวจนับ รับรอง โดยองค์กร

 

โดยประชาชนผู้มีส่วนร่วมโดยตรง และไม่ได้เป็นเรื่องยุ่งยากซับซ้อนทั้งยังสร้างความเข้มแข็งให้องค์กรประชาชนเพื่อเลือกปลูกต้นไม้ตามความชอบและความเหมาะสมสร้างความหลากหลายตามธรรมชาติ

3. การรับรองต้องผ่านองค์กรบริษัทประเมินหลักประกันของธุรกิจ ซึ่งมีค่าใช้จ่าย และเป็นการเบียดเบียนทรัพย์สินประชาชนโดยอ้างความน่าเชื่อถือขององค์กร ถือเป็นการทำร้าย ทำลายภูมิปัญญา และองค์กรของประชาชนแล้วเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทในระบบทุน รวมตลอดจนการออกแบบวางมาตรการให้ได้ต้นไม้ที่เพาะเลี้ยงและรับรองพันธุ์เป็นการทำลายความสามารถของประชาชนและส่งเสริมระบบการปลูกป่าเชิงเดี่ยว ซ้ำยังคิดเพื่อให้มีระบบตรวจสอบย้อนกลับด้วยดีเอ็นเอขากไม้ที่เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ซึ่งหมายถึงมีความคิดควบคุมกำกับประชาชนด้วยความไม่ไว้วางใจประชาชนและมองว่าพลเมืองดื้อ ชั่ว โง่ อ่อนแอ
4. มีกองทุนเป็นของตนเอง เพื่อส่งเสริม สร้างแรงจูงใจให้ปลูกดูแล และรักษาจัดการผลผลิตไม้ และบริหารจัดการโดยผู้ปลูกต้นไม้ มีสิทธิ์ได้รับค่าดูแลรักษา 5%ของมูลค่าต้นไม้ทุกปี เป็นเวลาอย่างน้อย 10 ปี เมื่อตัดต้นไม้ขายก็จ่ายเงินคืนเข้ากองทุน จึงเกิดการรับทุนเพียง 1,000 ต้นแรกเพื่อกระจายทรัพยากรในกองทุนอย่างเท่าเทียม 4. มีรูปแบบการให้กู้เงินจากธนาคารมาลงทุนเปิดโอกาสให้ผู้แข็งแรงเอาเปรียบ ผู้อ่อนแอ และเอื้อประโยชน์ให้เกิดการกู้เงินไปลงทุน รูปแบบรายใหญ่ ทำให้รายย่อยเสียโอกาส ฯลฯ

ธนาคารต้นไม้ได้เสนอร่างพรบ.ธนาคารต้นไม้ซึ่งประกอบด้วยหลักการเหตุผลสาระที่ถูกต้องเป็นธรรมเกิดประโยชน์อย่างเท่าเทียมเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายทั้งรายย่อย รายใหญ่ ซึ่งรัฐบาลรับรู้และรู้ไปพิจารณาทั้งหมดแต่เลือกตัดตอนเอาไปทำเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับระบบทุน ที่ง่ายต่อการการควบคุมกำกับ อนุญาต และการครอบงำทำให้โดยระบบทุน จึงถือเป็นการอ้างเอาสิ่งที่ถูกต้องไปทำในสิ่งที่ผิด เพื่อประโยชน์ตน และพวกพ้อง กีดกันสิทธิ และทำลายความเข้มแข็งชุมชน จึงเรียกได้เต็มปากว่า เป็นธนาคารต้นไม้ฉบับเณรคำ กระทำการสีลัพพตปรามาส ยิ่งกว่านั้นรัฐบาลสัญจร มาจังหวัดชุมพร ระนอง 20-21สิงหาคม 2561 เป็นเสมือนเมืองหลวงของธนาคารต้นไม้ แต่กลับนำเรื่องธนาคารต้นไม้ฉบับเณรคำมาหาความชอบธรรมบอกกับประชาชนว่าได้เอาแนวคิดธนาคารต้นไม้ของประชาชน อันเป็นแดนเกิดในจังหวัดชุมพรมาเป็นนโยบายรัฐบาลแล้ว ผมในฐานะผู้กำเนิดคำธนาคารต้นไม้ และเป็นคนที่รักษาหลักการธนาคารต้นไม้ที่ร่วมสร้างกับภาคประชาชน มานานกว่า 12 ปี จึงขอประณามรัฐมนตรี และครม. คสช. ว่าเป็นผู้ทำลายฆ่าตัดตอนธนาคารต้นไม้อ้างเอาของดีไปทำให้เสียหายในนามนโยบายรัฐบาล แต่ผมยืนยันว่ามันห่างชั้นชัด ระหว่าง ธนาคารต้นไม้ของแท้ฉบับพระศรีอารย์ กับ ธนาคารต้นไม้ของรัฐบาลฉบับเณรคำ และตอกย้ำคำว่า”รัฐบาลสีลัพพตปรามาส” พงศา ชูแนม ประธานมูลนิธิธนาคารต้นไม้ (12/8/61)